เรื่องปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสี จากหนังสือ ประวัติหลวงปู่โอภาสี
เนื้อหาที่ปรากฎนี้ คัดจากจาก หนังสือประวัติหลวงปู่โอภาสี วัดหลวงพ่อโอภาสี
ซึ่งพิมพ์แจกภายในวัดหลวงพ่อโอภาสี
ยังมีเรื่องปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสีอยู่อีกมากมาย หลายเรื่องที่จะได้นำมาเล่าสู่กันฟัง
หลวงปู่โอภาสีท่านไม่ได้จะถือตนเป็นผู้วิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านพูดเสมอว่า โอภาสีไม่ใช่ผู้วิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านเป็นเพียงพระสงฆ์รูปหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องการจะเผยแผ่หลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในแนวทางของท่านเท่านั้นเอง สิ่งที่หลวงปู่ได้ทำปริศนาต่าง ๆ เอาไว้นั้นแหละ คือหลักธรรมในแนวทางของท่าน ส่วนปาฏิหาริย์ของท่าน ล้วนเกิดขึ้นมาโดยที่ท่านไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะปกติวิสัยขององค์พระอริยสงฆ์ ที่มักจะมีอะไรเหนือกว่าคนปกติทั่วไปธรรมดาเท่านั้นเอง
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ขณะที่หลวงปู่โอภาสีปักกลดพักปฏิบัติธรรมอยู่ในสวนมะพร้าวบางมด ท่านก็ได้เอาสายสิญจน์มาล้อมรอบต้นมะพร้าวใกล้ ๆ กับที่พักของท่าน หลังจากนั้นใครมาหาท่าน ก็จะบอกว่า ประเดี๋ยวอีกไม่นาน ก็จะมีจระเข้ขึ้นมากินเป็ดไก่จนหมด ขอให้เตรียมเรือกันไว้ให้ดีนะ ชาวบ้านที่ได้ยินท่านพูดอย่างนั้น ก็ไขปริศนาธรรมกันไม่ออก จะมีจระเข้จากไหนกันล่ะขึ้นมากินเป็ดไก่ในสวนนี้ได้ ตอนนั้นบางมดส่วนใหญ่ก็จะเป็นสวนผลไม้ ซึ่งมีทั้งสวนส้มสวนมะพร้าวและผลไม้อื่น ๆ อีกมากมาย
หลังจากนั้นอีกไม่นาน หลวงปู่โอภาสีก็ถอนกลดธุดงค์ ออกจากสวนบางมด ท่านธุดงค์ไปยังสถานที่ใกล้ ๆ สักระยะหนึ่งในช่วงเข้าพรรษาก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ยอดพระปรางค์ในวัดพิชัยญาติ แถววงเวียนเล็ก ฝั่งธนบุรี ชาวบ้านแถวนั้นไม่มีใครไปสุงสิงกับท่าน และตัวท่านเองก็ไม่ไปสุงสิงกับใคร บิณฑบาตแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดพระปรางค์นั้นตลอด จะลงมาเข้าห้องน้ำบ้างเป็นบางเวลา แต่แล้วไม่นานปริศนาธรรมที่ท่านทิ้งไว้ก็ปรากฏคำตอบขึ้นมา เกิดน้ำท่วมใหญ่ในย่านกรุงเทพฯ และจังหวัดรอบข้างกรุงเทพฯ หมดเลย ซึ่งเป็นน้ำท่วมใหญ่ที่สุด คนในกรุงเทพฯ เดือดร้อนกันมาก ชาวสวนบางมดหมดตัวกันไปเป็นแถว สวนผลไม้ต่าง ๆ ได้รับความเสียหายกันมากมาย หลายครอบครัวไม่ได้เตรียมเรือกัน เอาไว้
ฝ่ายทางวัดพิชัยญาติก็เริ่มเข้าใจกันว่า ทำไมหลวงปู่โอภาสีถึงได้ไปอยู่แต่บนยอดพระปรางค์ตลอดวันตลอดคืน ในขณะที่น้ำท่วม นั้น พระในวัดและชาวบ้านต่างได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า แต่ตัวหลวงปู่โอภาสีท่านไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไร เพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว พระในวัดพิชัยญาติและชาวบ้านแถวนั้นต่างก็เห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่โอภาสีมีญาณวิเศษ สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ หลังจากนั้นทุกคนต่างก็นำดอกไม้ ธูป เทียน ข้าวอาหารผลไม้ขึ้นมาถวายท่าน ชาวบ้านบางกลุ่มบางคนต่างต่อว่าหลวงปู่ว่า รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแล้วทำไมไม่บอก ท่านพูดว่า สิ่งที่เห็นนั้นบอกไม่ได้ มันเป็นโชคชะตาของบ้านเมืองที่ถูกกำหนด ไว้แล้วอาตมาก็แสดงปริศนาธรรมให้ได้รู้ ได้ดู ได้เห็นกันแล้วนะโยม หลังจากนั้นไม่นานท่านก็เก็บกลด ออกเดินธุดงค์กลับสวนบางมด แต่ท่านได้พูดขึ้นมาว่า ต่อไปข้างหน้าสะพานพุทธจะแยกออกเป็นสองสะพานในไม่ช้านี้
กลับมาสวนบางมดอีกครั้ง ก็มีชาวบ้านสองผัวเมียในสวนบางมดได้ถวายที่ดินให้ท่าน คือ นายเหลือ และ นางพัน บุญบันเทิง ได้พูดขึ้นว่า กระผมมีสวนมะพร้าวอยู่แปลงหนึ่ง จะถวายให้หลวงปู่ ถ้าหลวงปู่พอจะทำอะไร จะให้ปลูกอะไร สร้างอะไร ก็สั่งตัดต้นมะพร้าวในสวนนั้นได้เลยครับ หลวงปู่โอภาสีก็พูดออกมาว่า ถ้าโยมต้องการ ให้อาตมาอยู่ที่นี่ อาตมาก็จะอยู่ ที่หลวงปู่พูดออกมาเช่นนั้น เพราะท่านหยั่งรู้ถึงจิตใจของสองผัวเมียและชาวบ้านนั้นดี ว่าต้องการจะให้ ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป และพอตกลงกันได้แล้ว สองผัวเมียและชาวบ้าน ก็รีบนิมนต์ท่านไปทำพิธีถวายที่ดินกันในวันนั้นเลย ที่ดินแปลงนี้ซึ่งปัจจุบันก็คือที่ตั้งวัดหลวงพ่อโอภาสีนั่นเอง การกลับมาของท่านในครั้งนี้ ชาวบ้านต่างเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่โอภาสีมากกว่าเดิม กันอีก
หลังจากนั้น ปากต่อปากเล่าต่อ ๆ กันไป ชาวสวนบางมด และประชาชนทั่วไปต่างก็นำของต่าง ๆ มาถวายให้ท่านกันอีกมากมาย ท่านรับแล้วก็ให้พร และท่านก็แจกคนทั่วไปบ้างแจกเด็กบ้าง บางส่วนที่เหลือก็โยนเข้ากองไฟหมด และโดยเฉพาะเด็ก ๆ ท่านมักจะแจกธนบัตรใบละ ๑ บาท เป็นประจำเสมอ ในย่ามของท่าน แฟบแบนตลอด แต่แปลก ท่านล้วงเงินออกมาแจกเด็กไม่มีวันหมด ไม่รู้ว่าท่านเอาเงินมาจากไหน เพราะเท่าที่ทุกคนรู้ทุกคนเห็น มีอะไรหลวงปู่โอภาสี ท่านไม่เคยเก็บเลย ท่านเผาไฟหมด
ปกติแล้ว หลวงปู่โอภาสีท่านจะไม่รับกิจนิมนต์ไปไหนเลย เพราะท่านต้องคอยรับแขกที่มาเฝ้าหาท่าน สนทนาธรรมกับท่าน ตลอดวันอย่างมากมายอยู่แล้ว เป็นแบบนี้ทุกวันเลย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านได้รับกิจนิมนต์เอาไว้ครั้งเดียววันเดียว ๗ งาน บรรดาลูกศิษย์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจู่ ๆ ท่านรับกิจนิมนต์แบบนี้ และจะไปได้อย่างไรกันล่ะ แต่ละที่ก็อยู่ห่างไกลกันมาก ลูกศิษย์ก็เริ่มกังวลใจกลัวญาติโยมจะต่อว่าหลวงปู่ได้ว่า รับงานแล้วไม่ไปงานของพวกเขา หลวงปู่โอภาสีท่านพูดออกมาว่า พวกแกไม่ต้องมานั่งกังวลใจกันหรอก ฉันไปครบทุกงานที่รับนิมนต์ไว้แน่ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ไม่มีใครมาต่อว่าฉัน และไม่มีใครผิดหวังกันหรอก
ถึงวันกำหนดที่ต้องไปงานแล้ว บรรดาลูกศิษย์ก็แปลกใจว่า ทำไมนะหลวงปู่ไม่ออกเดินทางสักที วันนี้ทั้งวันท่านก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย ท่านยังคงต้อนรับผู้คนที่มาถวายของให้ท่านและมาสนทนา ธรรมกับท่านอยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่ท่านบอกกับเจ้าภาพทุกงานไปว่า ไม่ต้องมารับอาตมานะ อาตมาจะไปหาเอง แล้วเจ้าภาพก็พูดออกมาว่า แล้วหลวงปู่จะไปบ้านงานถูกหรือ หลวงปู่ก็บอกว่า โยมก็เขียนแผนที่ทางไปบ้าน โยมให้อาตมาไว้ซิ อาตมาก็ไปถึงบ้านงานเองละ โยมไม่ต้องเป็นห่วง ไปห่วงเรื่องการเตรียมงานดีกว่านะ วันนั้นทั้งวันท่านไม่ได้ไปไหนเลย
จนเหตุการณ์รับนิมนต์วันเดียว งานผ่านไปหลายวัน แขกที่เคยนิมนต์หลวงปู่ไปงานต่างก็ทะยอยกันมาเป็นระยะ ๆ นำของมาถวายหลวงปู่กันบ้าง และก็มาขอบพระคุณหลวงปู่กันบ้างที่ไปงานบุญของพวกเขา ต่างคนต่างกลุ่มสนทนาธรรมกับหลวงปู่สักพักก็ลากลับ ลูกศิษย์ต่างแปลกใจ จึงไปดักถามเจ้าภาพแต่ละคน ว่าหลวงปู่ท่านไปงานบ้านคุณหรือเปล่า ทุกคนต่างตอบว่าหลวงปู่ไปงานแล้ว ลูกศิษย์ก็พูดออกมาว่า วันนั้นทั้งวันหลวงปู่ไม่ได้ลุกไปไหนเลย ท่านอยู่ต้อนรับแขกที่สำนักพุทธญาณทั้งวันเลย ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ได้ไปงานบ้านเขาจริง ๆ และอยู่จนทำพิธี เสร็จทุกอย่าง แต่ท่านบอกตอนจะกลับว่า ไม่ต้องไปส่ง ท่านต้องไปงานนิมนต์อื่น ๆ อีก ท่านกลับเองได้ ไม่เป็นไรนะ ลูกศิษย์ต่างพูดคุยกันในกลุ่มว่า หลวงปู่ท่านแยกร่าง ถอดร่างไปได้ครบทุกงานเลย
หลวงปู่หยั่งรู้ถึงจิตใจคนได้ทุกเรื่อง มีสตรีสูงอายุคนหนึ่ง มีความต้องการอยากจะได้เส้นผมของหลวงปู่เอาไว้บูชาที่บ้าน จึงพูดคุยกับคนที่บ้านไปว่า ตนอยากจะได้เส้นผมของหลวงปู่ แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาอย่างไรและวิธีไหนดี และเมื่อสตรีคนนั้นมาหาหลวงปู่ที่สำนักพุทธญาณโอภาสี พอกราบหลวงปู่เสร็จเท่านั้นแหละ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย หลวงปู่โอภาสีท่านก็เอามือลูบศีรษะของท่าน แล้วก็พูดออกมาว่า “โยม ผมของอาตมาสั้นอย่างนี้ แล้วจะตัดให้โยมได้อย่างไร” สตรีแก่คนนั้นกับลูกหลานที่มาด้วยกันต่างตกใจ แปลกใจว่าหลวงปู่รู้จิตใจของเขาได้อย่างไรกัน
หลวงปู่มีตาทิพย์ ท่านสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าได้ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเสียอีก เช่น เรื่องประเทศไทยจะต้องเข้าสู่สงครามอินโดจีน เรื่องน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สะพานพุทธแยกเป็นสองสะพาน วันนี้พรุ่งนี้ใครจะมาพบท่านบ้าง แต่งตัวอย่างไรบ้าง หญิงหรือชาย เป็นต้น
ใครถวายของให้หลวงปู่โอภาสีแล้วเกิดเสียดาย ของที่นำมาถวายทั้งหมดนั้นจะกลับไปอยู่ที่เดิม มีผู้หญิงกลางคนคนหนึ่งเดินทางมาไกลมาก ได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่จากญาติและเพื่อนมาว่า ทำวัตรปฏิบัติและคำสอนของท่านมีคุณวิเศษมาก ๆ ก็เลยหาโอกาสมากราบหลวงปู่สักครั้งหนึ่งในชีวิต พอเดินทางมาถึง ก็ก้มกราบหลวงปู่โอภาสีได้พูดสนทนาธรรมกับหลวงปู่สักพักใหญ่ ก็เกิดความศรัทธามาก ๆ จึงถอดของมีค่าทุกอย่างในตัวถวายให้หลวงปู่โอภาสีทั้งหมดเลย เช่น สร้อยทอง เข็มขัดทอง เงินสด หลวงปู่รับของถวายแล้ว ก็โยนเข้ากองไฟไปหมด หญิงคนนั้นเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เสียดายของขึ้นมาในจิตใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หลวงปู่ท่านรู้ดี หลวงปู่ท่านจึงพูดออกไปว่า โยมไม่ต้องเสียดายไปหรอก ของพวกนี้มันไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็อยู่ที่เดิมละ หญิงคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก็ได้ก้มลงกราบหลวงปู่ไปทันที ด้วยจิตใจที่เสียดายของไปตลอดทาง เมื่อเธอไปถึงบ้าน ปรากฏว่าของมีค่าที่ตนถอดถวายหลวงปู่ไปนั้น ทั้งหมดกลับมาอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าได้อย่างไร ซึ่งสร้างความมหัศจรรย์ให้กับตัวเธอมาก เธอพูดออกมาว่า นี้คือปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสี ผู้หยั่งรู้จิตใจมนุษย์
หลวงปู่โอภาสีแจกเงินก้นถุง การแจกเงินก้นถุงใบละบาทใบละร้อยของท่าน ควักแจกเท่าไหร่ก็ไม่มีหมด ทั้ง ๆ ที่ในย่าม ของท่านก็แบนแฟบ ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในย่ามท่านเลยด้วยซ้ำไป ท่านได้แจกธนบัตรใบละร้อยสองใบให้กับคุณหลวงประเสริฐวิจารย์ ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งในสมัยนั้น คุณหลวงได้รับธนบัตรไปแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางไปรับราชการที่ต่างประเทศ เพื่อนคนนี้เคยพูดกับคุณหลวงไว้ว่า ตนต้องการจะได้ธนบัตรก้นถุงของหลวงปู่โอภาสีสักใบ แต่ไม่มีโอกาสมาพบท่านเลย เพราะอยู่ต่างประเทศ เมื่อคุณหลวงนึกได้เช่นนั้น คิดว่าตนเองอยู่ที่ประเทศ ไทย และก็มาหาหลวงปู่บ่อยมาก จึงตัดสินใจส่งจดหมายพร้อม ธนบัตร ๑ ใบไปให้เพื่อนที่กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศอเมริกา แต่ก่อนจะส่งไป คุณหลวงได้จดหมายเลขทั้งหมดของธนบัตรใบละร้อยที่ส่งไปให้เพื่อนนั้น จดทุกหมายเลขไว้เลย ต่อมาอีกไม่นาน คุณหลวงได้พบหลวงปู่อีก นำของมากมายมาถวายท่าน ก้มกราบท่าน ยังไม่ได้พูดอะไรเลย หลวงปู่ก็หยิบธนบัตรใบละร้อย ยื่นให้กับคุณหลวงไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องแปลกใจหรอก เขาไปเที่ยว วอชิงตันมาแล้วนะ เอ้า รับของกลับคืนไป”
พอได้ยินเช่นนั้น คุณหลวงก็แปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มและรับธนบัตรเอาไว้ เพราะคิดไม่ถึงว่าหลวงปู่ท่านจะล่วงรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ของตนได้ดีตลอดมา คุณหลวงก็ได้ถวายของหลวงปู่และได้สนทนาธรรมหลายเรื่องตามปกติ เสร็จแล้วก็ลาหลวงปู่กลับ และเมื่อคุณหลวงมาถึงบ้าน ก็ได้เอาธนบัตรใบละร้อยที่หลวงปู่ให้มาใหม่ มาดูกับกระดาษที่ตนจดหมายเลขธนบัตรที่ส่งไปให้เพื่อนที่ต่างประเทศก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าหมายเลขทั้งหมดตรงกัน เลขเหมือนใบเดียวกันเลย คุณหลวงมีโทรเลขไปหาเพื่อนอีกว่า ธนบัตรที่ตนให้ไว้ยังอยู่หรือเปล่า เพื่อนก็โทรเลขกลับมาว่า อยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา นี้ก็คือปาฏิหาริย์ของหลวงปู่
หลวงปู่เดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง ที่ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลวงปู่โอภาสีท่านได้ทำธุระเสร็จแล้ว ก็แวะเยี่ยมญาติพี่น้องของท่านครบแล้ว ท่านก็จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ซึ่งการเดินทางในสมัยนั้น ยังต้องเดินทางไปโดยเรือยนต์กันอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นได้ข่าวว่าท่านจะเดินทางกลับแล้ว ก็เลยมารอเฝ้าพบท่านเพื่อขอของดีจากท่านด้วย เมื่อหลวงปู่เดินทางมาถึง ก็ปรากฏว่าคนมารอส่งท่านมากเหลือเกิน จนท่านลงเรือยนต์กลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ ท่านก็พูดออกมาว่า คนมากแบบนี้ ของในย่ามที่มีอยู่ไม่พอแจกหรอก ถ้าจะต้องแจกกันจริง ๆ ก็ต้องหลายวันแน่เลย เพราะคนมามากเหลือเกิน จึงเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น เนื่องจากผู้ที่ยังไม่ได้รับแจกของดี ก็ไม่ยอมหลีกทางให้ท่านขึ้นเรือยนต์ได้ บางคนก็ลงไปอยู่ในเรือยนต์กันเต็มไปหมด จนทำให้เรือจะล่ม หลวงปู่ก็ขึ้นไปยืนบนสะพาน แล้วก็บอกกับญาติโยมไปว่า ขอให้ขึ้นไปจากเรือให้หมดทุกคนก่อนนะ แล้วท่านจะแจกของดีให้ทั่วทุกคนเลย ทุกคนก็เชื่อท่านจึงทำตามท่าน พอหลวงปู่โอภาสีลงเรือยนต์ได้แล้ว เรือก็ออกจากท่าได้แล้ว หลวงปู่ก็ยื่นท่องคาถาสักพัก ท้องฟ้าที่ใสสว่างก็มืดมิดลง เกิดฝนตก ตรงตำแหน่งที่ชาวบ้านยืนรอส่งท่านอยู่นั้นเปียกฝนกันทั่วทุกคน พอเรือพ้นห่างไกลจากชาวบ้านไป ท้องฟ้าก็กลับมาสว่างเหมือนเดิม ฝนก็หยุดตกทันที ชาวบ้านทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่ไงของดีของหลวงปู่โอภาสี ท่านเสกฝนลงมาให้ครบทุกคน ตามที่ท่านได้รับปากเอาไว้ นี่ละคือปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสี ณ บ้านเกิด
ความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์จุฬามณี ที่ครอบศาลาเก็บสรีระสังขารของหลวงปู่โอภาสีเอาไว้ กฎระเบียบมีอยู่ว่า ผู้ชายสามารถเข้าไปกราบสรีระสังขารของหลวงปู่ได้ แต่ผู้หญิงห้ามเข้าไปเด็ดขาด จะกราบได้ก็แต่ข้างนอกเจดีย์เท่านั้น เมื่อถึงคราววันสรงน้ำหลวงปู่โอภาสีเป็นประจำทุกปี คุณยายแนบ ทับทิมทอง ได้มาร่วมงานบุญที่สำนักพุทธญาณโอภาสีนี้ ในขณะนั้นทุกคนยังวุ่นวายกับเรื่องการเตรียมการเลี้ยงเพลพระกันอยู่ในศาลา คุณยายก็เดินมาที่เจดีย์ เดินไปรอบ ๆ พบว่ามีประตูเกิดแง้มอยู่หนึ่งบาน นั้นคือประตูรั้วรอบนอกเจดีย์ คุณยายก็อยากเข้าไปข้างในนั้น แบบพวกผู้ชายเขาบ้างเพื่อจะไปดูองค์เจดีย์ได้ใกล้ ๆ มากกว่านี้ แต่ใจหนึ่งก็เกรงกลัว เพราะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเขตหวงห้ามสำหรับสตรีทุกคน ในที่สุดท่านก็หันมอง ซ้าย-ขวา มองหน้า-หลัง ในเมื่อไม่มีใคร เห็นก็ไม่เป็นไรหรอก ก็เลย เปิดประตู แล้วรีบเดินเข้าไปจนใกล้องค์เจดีย์ แล้วก้มลงกราบสาม ครั้ง ไม่ได้เข้าไปข้างในเจดีย์เลยนะ ก็รีบเดินออกมาแล้วก็ปิดประตู ไว้เหมือนเดิม เมื่อเสร็จงานบุญวันนั้นแล้วก็กลับบ้านตามปกติ ไม่พูดไม่บอกใคร เข้านอนดีกว่า
พอตกกลางคืน คืนนั้นทั้งคืน คุณยายฝันแปลกประหลาดมากเลยว่า มีมังกรตนหนึ่งลักษณะแบบเดียวกับที่เฝ้าองค์เจดีย์กลางน้ำนั้น จะวิ่งไล่ยายตลอด ยายแกก็วิ่งหนีจนกระทั่งตกใจตื่นรู้สึกเหนื่อยและหอบ เหงื่อออกมามาก กระหายน้ำมากเหมือนวิ่งหนีมังกรมาจริง ๆ เลย คืนต่อมา ก็เข้าฝันแบบเก่าอีก เป็นแบบนี้ ๓ คืนเลย คุณยายจึงตัดสินใจเล่าให้ลูกหลานฟัง เพื่อจะให้พาท่านมาขอขมาต่อองค์พระเจดีย์และสรีระสังขารหลวงปู่โอภาสีด้วยตนเอง หลังจากคุณยายจุดธูปเทียน ดอกไม้ มาขอขมาแล้วก็กลับบ้านไป ก็นอนหลับเป็นปกติเหมือนเดิม นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์จุฬามณีในทุกวันนี้ กฎระเบียบแบบนี้ก็ยังคงไว้ตลอดมา มังกรตรงสระน้ำข้างเจดีย์มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะต้องดูแลเจดีย์และสรีระสังขารของหลวงปู่ไว้ให้ดี ใครจะไปทำอะไรผิดกฎระเบียบในบริเวณนั้น ถึงไม่มีคนเห็นแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเห็นนะจําไว้
ชาวจีน ชาวไทย แขก มอญ ฝรั่ง ในย่านบางมดทุกคน ต่างเคารพและนับถือหลวงปู่โอภาสี ฝ่ายชาวจีน ศาลเจ้าโกมินทร์ โกเมศ โกมล เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่โอภาสีผู้ปฏิบัติ แปลกกว่าพระสงฆ์ทั่วไป จึงพากันมากราบ เพื่อให้เห็นกันกับตาตนเองกันเลยนะ ครั้นเมื่อมาพบเห็นแล้ว ก็เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ตรงตามลัทธิของตนเองที่ว่า การเผาสิ่งของต่าง ๆ เป็น การสื่อสารไปให้ผู้ที่ตายแล้วได้รับผลบุญนั้น ๆ ตลอดเวลาหลวงปู่โอภาสีท่านก็เผาทุกอย่างเหมือนกัน
หลวงปู่โอภาสีรักษาคนป่วยให้หายได้ บางคนเจ็บป่วยไข้ด้วยโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงต่าง ๆ หลายโรค ไปรักษาโรงพยาบาลแล้วไม่หาย หมดเงินหมดทองไปมากแล้วก็ยังไม่หาย ญาติก็พามาหาหลวงปู่ที่สำนักพุทธญาณฯ ท่านมองดูหน้าแล้วก็รู้ว่าจะมาให้ช่วยอะไร ญาติและผู้ป่วยยังไม่ทันพูดอะไรเลย หลวงปู่บอกให้เอาน้ำมนต์ไปกิน พรุ่งนี้ก็หาย และก็ค่อย ๆ หายป่วยกันจริง ๆ บางคนท่านก็เสกกล้วยน้ำหว้าตากแห้งของท่านเอาไปกินแทนยา บางคนท่านก็เอาหญ้า ข้างอาศรมของท่านเสกแล้วให้ไปต้มกินต่างน้ำกัน บางคนท่านก็ให้เขียนชื่อ วัน เดือน ปีเกิด เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้ท่าน ท่านท่องคาถาแล้วก็โยนลงไปในกองไฟ บางคนท่านก็ให้กระดาษยันต์คาถาของท่านไปเผาไฟใส่น้ำกิน การรักษาผู้ป่วยของท่านมักไม่เหมือนกันเสมอไป แล้วแต่โรคภัยที่เป็นมากเป็นน้อย แตกต่างกันออกไป แต่ก็หายกันทุกคน หายแล้วก็ดีใจกัน ก็นำของมาถวายหลวงปู่กันมากอีก หลวงปู่ได้ถามว่าเสียดายไหม ไม่เสียดายท่านก็เผาไฟหมดเลย หลวงปู่เคยพูดไว้ว่า คนยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ยังไม่ตายหรอก เมื่อหมดเวรกรรมแล้ว ทุกคนก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้นไปได้ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์บนโลก อย่าไปยึดติดกับมัน หมั่นทำความดี อย่าสร้างเวรกรรม แล้วชีวิตจะดีเอง ทุกคนหนีความตายกันไปไม่พ้นหรอก
มีผัวเมียคู่หนึ่ง ไปทำบุญกับหลวงปู่โอภาสี เมียได้ถวายทองคำไป ๑ เส้น หนัก ๒ บาท หลวงปู่ถามเหมือนเดิมว่า โยม เสียดายไหม ภรรยาตอบไม่เสียดายค่ะ แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี หลวงปู่โอภาสีท่านจึงพูดขึ้นมาว่า โยมผู้ชายถ้าเสียดายก็ให้ไปเอาคืนที่บ้านนะ ของเอามาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั้นละ สองผัวเมียเมื่อเห็นหลวงปู่โยนสายสร้อยเข้ากองไฟไปแล้วก็นั่งทำตาปริบ ๆ จากนั้น สักครู่ก็ลาท่านกลับ ทั้งคู่เดินกลับไปเถียงกันตลอดทางจนมาถึงบ้าน ก็พบสายสร้อยเส้นเดิมที่ถวายหลวงปู่โอภาสีไป มาอยู่ในตู้เก็บของมีค่าของเขาเหมือนเดิม สองผัวเมียคู่นั้นจึงได้พูดเล่าสรรเสริญหลวงปู่ โอภาสีไปว่า ท่านรู้จิตใจของคนที่ไปเฝ้าท่าน และท่านมีเมตตาธรรมสูง ไม่อยากจะสร้างความทุกข์ให้กับคนมาทำบุญกับท่าน แล้วต้องไปทะเลาะและเลิกรากันไป โดยที่เมียอยากทำบุญ แต่ตัวไม่อยากทำบุญ และมีความเสียดายในทรัพย์สินสร้อยเส้นนั้น ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสีจึงเกิดมาอีกครั้ง
หลวงปู่โอภาสีช่วยรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ให้หายได้ ถ้าคนนั้นยังไม่ถึงคราวตายจริง ๆ ท่านก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบา ร้ายกลายเป็นดี แบบน่าอัศจรรย์มาก ๆ ในครั้งหนึ่ง มีหญิงชราผอมแห้งแรงน้อยมาก พร้อมกับหลานชาย ได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายท่าน ท่านก็โยนเข้ากองไฟหมด หญิงชราพูดกับหลวงปู่ไปว่า ดิฉันเจ็บป่วย มานานมากแล้ว รักษาที่ไหนก็ไม่หาย หมดเงินทองไปมากแล้ว อยากให้หลวงปู่ช่วยหน่อย ยังตายตอนนี้ไม่ได้ ลูกหลานยังเล็กกันอยู่ ยังปกครองตัวเองกันไม่ได้เลย หลวงปู่ท่านมองหน้าแล้วท่านก็บอกว่า โยมยังมีบุญเก่าเหลืออยู่ ยังไม่ตายหรอกในตอนนี้ ท่านก็ลุกไปหยิบกล้วยตากแห้งที่ท่านได้ปลุกเสกไว้เป็นยารักษาคนมาให้หญิงชราคนนั้นกิน และท่านก็ให้ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหน้าอาศรมไปกินต่างน้ำ ท่านบอกเดี๋ยวก็หายเอง แล้วท่านก็ถอนหญ้าหน้าอาศรม ๑ กำมือ ท่องถาคา แล้วก็ยื่นให้ไปต้มกินต่างน้ำ เช้า-เย็น หญิงชราอาการดีขึ้นตามลำดับ อีกไม่นานก็เดินมาหาหลวงปู่เองได้ และต่อมา ก็หายเป็นปกติดี ก็พูดสรรเสริญหลวงปู่โอภาสีให้คนอื่นฟังอีกมากมายถึงความมีเมตตาของหลวงปู่ และความศักดิ์สิทธิ์ในวาจา ของหลวงปู่โอภาสีและปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสี ทุกวันหญิงชราตั้งหน้าใส่บาตร ทำบุญไม่ขาด และนำของมาถวายหลวงปู่เป็นประจำ
หลวงปู่โอภาสียิ่งเผาของมากเท่าไหร่ คนก็นำของมาถวายท่านมากเท่านั้น เรื่องแปลกแต่จริง ของคนไทย จีน แขก มอญ ต่างมุ่งหน้าสู่อาศรมบางมดกันทุกวัน บรรดาชาวจีนแถวสำเพ็ง พวกแขกแถวพาหุรัด พวกมอญแถวพระประแดง และชาวต่างประเทศบางกลุ่มในสมัยนั้น ที่เข้ามาทำการค้าในเมืองไทยของเรา ต่างได้ยินถึงปาฏิหาริย์ของหลวงปู่และความมหัศจรรย์ต่าง ๆ ของหลวงปู่โอภาสี เท่าที่ทราบกันมาจากปากต่อปาก จากตัวของเขาเองบ้างถึงอภินิหาร และแนวทางปฏิบัติที่แปลกของท่านก็ตรงตามประเพณีของชาวจีน ที่นิยมเผาของไปให้คนตาย ต่างได้นำกระดาษเงิน กระดาษทอง ของใช้ต่าง ๆ ดอกไม้ ธูป เทียน เงินสด และของกินของใช้ต่าง ๆ มาถวายหลวงปู่มากมาย หลวงปู่รับแล้วถามว่า โยม เสียดายไหม ถ้าไม่เสียดาย อาตมาเผาหมดนะ ก่อนเผาทุกครั้ง ท่านก็จะแบ่งของแจกเด็กบ้าง คนชราบ้าง หลังจากนั้น ท่านก็เผาหมดทุกอย่าง ไม่เหลือเก็บไว้เลย ท่านจะเผาของทั้งวันทั้งคืน เป็นปกติประจำของท่านเสมอ
ชาวบ้านแถวสวนส้มบางมดบางกลุ่มไม่พอใจที่หลวงปู่เผาของทั้งวันทั้งคืน ควันไฟเป็นอุปสรรคกับการติดดอกออกผลของสวนส้มบางมด จึงรวมกลุ่มกันประมาณ ๑๐ คนได้ เข้าไปกราบหลวงปู่โอภาสี และเล่าให้หลวงปู่ฟังถึงความเดือดร้อนในการเผาไฟของหลวงปู่ในครั้งนี้ หลวงปู่พูดออกมาว่า “โยมทั้งหลายไม่ต้องตกใจกับเรื่องส้มจะไม่ติดดอกออกผล ขอให้ใจเย็น ๆ คอยดูไป” ชาวสวนก็ยังไม่พอใจอีก หลวงปู่จึงพูดอีกว่า อาตมาขอรับประกัน สวนส้มในละแวกอาศรมนี้ จะถูกดีกว่าปีที่ผ่านมาอีก โดยไม่ต้องไปใส่ปุ๋ยอะไรทั้งสิ้น “เพราะเทวดาท่านจะช่วย” ชาวบ้านฟังแล้วก็พอใจแล้วก็ลาหลวงปู่กลับไป เวลาผ่านไปไม่นาน ปีนั้นเองปรากฏว่าสวนส้มบริเวณที่ควันไฟพัดไปนั้น ติดดอกออกผลมากมายลูกโต ใหญ่ เก็บขายกันได้เงินทองมากมายกันทุกต้นเลย ชาวสวนต่างพูดว่า วาจาของท่านศักดิ์สิทธิ์จังเลย ท่านพูดคำไหนก็เป็นตามนั้น สวนผลไม้ในละแวกนั้นทุกสายพันธุ์ดกดีกันทุกต้น มันก็เป็นเรื่องแปลกและปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสีอีกแล้ว
กองไฟที่ท่านสุมไว้ตลอด ฝนตกหนักมากแค่ไหน กองไฟ ของท่านก็ไม่ยอมดับลงเลย ทุกฤดูฝน ทุกคนมักเห็นปาฏิหาริย์ในกองไฟกองนั้นเสมอ หลวงปู่โอภาสีท่านสามารถควบคุมให้ไฟลุกโชน กองใหญ่หรือกองเล็กได้ตามที่ท่านต้องการ ส่วนมากกลางวันกองไฟจะเล็ก ทั้ง ๆ ที่มีของลงไปเผามาก ๆ แต่กลางคืนกองไฟเปลวไฟจะใหญ่ทั้ง ๆ ที่มีของลงไปเผาไม่มากนัก เปลวเพลิงที่เผาทั้งกลางวันกลางคืน แมลงและสัตว์ต่าง ๆ เดินผ่านบินผ่านแต่ก็ไม่เป็นอันตรายใด ๆ เลย เรื่องแปลกแต่จริง ในการเผาของต่าง ๆ ตลอดวันคืน หลวงปู่โอภาสีท่านจะจัดเวรยามให้ลูกศิษย์ของท่านผลัดเวรกันเผาของในกองไฟ ตลอดคืนวันเป็นประจำเสมอ และผลจากการเผาของต่าง ๆ ทั้งหมด บางคนก็ขอท่านไปบูชากันบ้าง ไปติดตัวกันบ้าง และลูกศิษย์ของท่านก็เก็บใส่ปีบน้ำตาล ใส่ไว้ให้ท่านทำวัตถุมงคลต่างๆ ไว้แจกคนทั่วไปบ้าง ทุกคนต่างมีประสบการณ์กันมาก ๆ
หลวงปู่โอภาสีท่านไม่อนุญาตใครแล้ว ใครก็ถ่ายรูปท่านไม่ติด ชื่อเสียงของท่านเริ่มมีผู้คนรู้จักกันมากขึ้น ทุกสาขาอาชีพ ตลอดจนในแวดวงนักหนังสือพิมพ์ สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ต่างก็อยากได้รูปท่านไปลงตีพิมพ์โฆษณา แต่ถ้าใครแอบถ่ายรูปท่านไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง รูปถ่ายได้แต่ล้างแล้วรูปไม่ติดเป็นประจำเสมอ ไม่ว่าจะใช้กล้องดีขนาดไหนในยุค พ.ศ. ๒๕๐๐ ลงไปนะ ถ่ายเท่าไหร่ก็ถ่ายไม่ติด บางคนถึงกับกล้องพัง แฟลชกล้องแตกกระจายก็มี แต่ถ้าใครขอท่านและท่านอนุญาต แม้กล้องไม่ดีแสงไฟไม่ดีพอ รูปก็ติดออกมาคมชัดเวลาล้างฟิล์ม เรื่องแปลกแต่จริง ในเวลาผ่านมาหลังจากท่านมรณภาพไปแล้วถึงปัจจุบัน เรามักพบเห็นภาพของท่านน้อยมาก จะพบเห็นได้ก็ต่อคนที่รักเคารพท่านมากจริง ๆ จะมีติดบ้านกันไว้บูชาเสมอ แต่ไม่มากนัก นี้ก็คือปาฏิหาริย์ของหลวงปู่โอภาสี อีกแบบหนึ่ง
หลวงปู่โอภาสี ท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เกี่ยวกับอภินิหารในครั้งนี้ มีหลายอย่างและหลายประการ คำพูดของท่านก็มีวาจาสิทธิ์มาก ท่านกล่าวคำใดออกมาแล้ว ต้องเป็นดังคำของท่านเสมอ คนป่วยไข้ ใกล้จะตาย หลายคนมาหาท่าน ท่านบอกไม่ตาย บุญเก่ายังมีเหลืออยู่ก็ไม่ตาย ส่วนใครบุญหมด ท่านบอกให้รีบกลับไปสร้างบุญสร้างความดีต่อไปอีก ก็จะไม่ตาย หลวงปู่โอภาสีไม่เคยบอกว่าท่านจะช่วยใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคน รวย จน ท่านพูดเหมือนกันหมด ตายก็ตาย ไม่ตายก็ไม่ตาย คำพูดของหลวงปู่ ท่านพูดมักให้เรากลับไปคิดเสมอทุกครั้งไป มีอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่มีคนพูด กล่าวขานถึงท่าน ในทุกเรื่อง ในทุกที่ต่าง ๆ จะอยู่ห่างไกลจากท่านมากแค่ไหน ก็จะรับรู้ได้หมด บางคนไม่ได้พูด แค่นึกในใจท่าน ก็รู้ได้เสมอ กรณีเช่นนี้เคยปรากฏตัวอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดมาหลายรายแล้ว เช่น ท่านสามารถรู้ถึงความต้องการของผู้ที่จะไปหาท่าน หรือพูดถึงท่านในทุกเรื่อง พอพบท่าน แค่ก้มลงกราบยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมาเลย ท่านพูดถึงความต้องการของคนคนนั้นออกมาก่อนเลย บางคนนินทาท่านมานานแล้ว ท่านก็พูดออกมาตามคำนินทานั้น ทุกคนต่างได้ยินได้ฟังต่างก้มลงกราบขอขมาลาโทษท่านใหญ่เลย บางคนอายท่าน ไม่กล้าสู้หน้าท่าน พูดไม่ดีกับท่านไว้มาก รีบลุก ลงอาศรมด้วยความตกใจไปเลยก็มี แต่ท่านก็มีเมตตาและยกโทษให้กับทุกคนเสมอมา ท่านเคยบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติของโลกมนุษย์
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง มีคนมาถวายนาฬิกาให้หลวงปู่ไว้ดูเวลาที่หน้าอาศรมของท่าน แต่ไม่ได้พูดคำถวายกับท่านโดยตรง ก็เลยแขวนนาฬิกาไว้หน้าอาศรม เพื่อให้บุคคลทั่วไปดูเวลา และให้หลวงปู่ดูเวลาด้วยเช่นกัน ตกดึกวันหนึ่ง มีหัวขโมยนักย่องเบาได้ตั้งใจเข้าไปขโมยของในกุฏิท่าน แต่ไม่พบของมีค่าอะไรเลย ก็เห็นนาฬิกาแขวนเรือนนี้จึงหยิบติดมือไปด้วย เช้าวันต่อมาหลวงปู่ท่านตื่นมาตามปกติในเวลาเช้าของท่าน ก็มองดูนาฬิกาที่แขวนไว้หายไป ท่านก็พูดออกมาว่า “ไอ้นี่มันท่าจะบ้า” ปรากฏว่าอีกไม่กี่วัน อ้ายหัวขโมยคนนั้น ซึ่งมีที่อยู่แถว ๆ อาศรมของท่านคนหนึ่ง ถึงกับมีอาการเป็นบ้าโดยไม่รู้สาเหตุเลย ญาติพี่น้องที่ไม่ทราบเรื่องขโมยนาฬิกาในครั้งนี้ จะมาทราบก็ต่อเมื่ออ้ายคนเป็นบ้านี้ได้ตายไปแล้ว เพราะคนที่เขาเอานาฬิกาไปขายนั้น ก็มาเล่าและพูดให้ญาติของเขาฟัง แต่สายไปแล้ว
สำหรับพวกนักเลงหัวไม้ต่าง ๆ ในสมัยนั้น ที่ชอบเรื่องเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันตัว ต่างก็มาฝากตัวเป็นศิษย์ของ ท่านก็มาก ส่วนมากก็จะหาสตางค์แดง ๑ สตางค์ มาให้ท่านปลุกเสก เอาไว้ห้อยคอ และป้องกันตัวกันบ้าง วัตถุมงคลของหลวงปู่ใช้ในทางแคล้วคลาดเป็นส่วนใหญ่ ชาวสวนบางมดก็ใช้ติดตัวป้องกันงูพิษต่าง ๆ เวลาเดินในสวนยามค่ำคืน หรือกลางวัน
สำหรับพวกนักเลงเล่นหวยต่าง ๆ ในสมัยนั้น หวย (ก ข) เป็นที่นิยมกันมาก ที่มักจะเอาคำพูดของหลวงปู่โอภาสี และการแสดงออกทางกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของท่านไปตีเป็นหวยต่าง ๆ นานา กันไป ส่วนมากก็ถูกกันบ่อยครั้ง เช่น เลขท้าย ๒ ตัว และเลขท้าย ๓ ตัว ส่วนรางวัลใหญ่ ๆ ก็เคยมีเหมือนกัน คนบางคนถูกหวยกันบ่อย ๆ มากบ้าง น้อยบ้าง ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งมาสร้างศาลาอุทิศให้หลวงปู่ เท่าที่พอเห็นกัน ณ สำนักพุทธญาณโอภาสี หรือ วัดหลวงพ่อโอภาสี ในปัจจุบันนี้
เมื่อก่อนนี้ มีครอบครัวหนึ่ง อยู่ใกล้อาศรมหลวงปู่ มาคอยรับใช้และดูแลหลวงปู่ ขอข้าวหลวงปู่กินกันประทังชีวิตกันไปวัน ๆ หลวงปู่ท่านก็มีความเมตตาอยู่แล้ว ท่านก็เมตตาให้ทุกมื้อ คนในครอบครัวก็บอก ทำไมครอบครัวลูกถึงยากจนจริง ๆ แม้แต่จะกินก็ไม่มีเลย หลวงปู่ท่านก็หยิบดินมาหนึ่งกำมือ แล้วอธิษฐานจิตลงไปในดิน แล้วเอาใส่ปากให้กินกันไป ท่านก็พูดขึ้นว่า คนไม่มีสุด ๆ ก็ต้องกินดินไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปโตขึ้นจะมีกินมีใช้ไม่อดอยากแบบนี้อีก และเด็กหญิงคนนั้นโตมาก็ร่ำรวยถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง ปัจจุบันก็ช่วยงานบุญวัดหลวงปู่มาด้วยดีตลอด ตอนนี้ไปมีครอบครัวอยู่ทางภาคเหนือแล้ว หลานเขาชื่อ “หมู” เป็นคนเล่า ให้ฟัง
หลวงปู่ให้ชีวิต มีครอบครัวหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ได้ถึงแก่ความตายลงไป แล้วญาติก็เตรียมงานศพกันตามประเพณี และมีญาติ ของผู้ตายคนหนึ่งได้วิ่งไปขอให้หลวงปู่โอภาสีช่วยชีวิตไว้ก่อน เพราะลูก ๆ ของคนตายยังเล็กกันมาก ที่สวนไร่นาก็ยังไม่ได้แบ่งกันเลย เธอรีบวิ่งหน้าตั้งกันไปหอบเหนื่อยมาก พอมาถึงยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หลวงปู่โอภาสีท่านพูดขึ้นมาว่า รีบกลับไปเถิด เขาไม่ตายหรอก พอกลับมาบ้าน สัปเหร่อได้ทำการมัดตราสังข์ ยังมัดไม่เต็มที่คนที่ตายฟื้น โยนดอกบัว ธูปเทียนทิ้ง แล้วก็ตื่นขึ้นมา ทำให้ทุกคนตกใจกันมาก หลานชื่อ “หมู” เป็นคนเล่าให้ฟัง
หลวงปู่โอภาสี ท่านอยากจะปล่อยกุ้งต้มตัวแดง ๆ ที่ตาย แล้ว ลงไปในแม่น้ำ มีแม่ค้าคนจีนคนหนึ่ง พายเรือขายของกินทั่วไปในคลองบางมดแถวหน้าอาศรมของท่าน หลวงปู่ก็เรียกแม่ค้าคนนั้นเข้ามาใกล้ ๆ แล้วถามว่า กุ้งกระจาดนั้นราคาเท่าไหร่ พอตกลงราคากันได้ ท่านก็ควักธนบัตรใบละหนึ่งบาทมาให้แม่ค้า แล้วก็ปล่อยกุ้งลงไปในแม่น้ำลำคลองนั้น ปรากฏว่ากุ้งต้มตัวแดง ๆ ต่างมีชีวิต กระโดดน้ำกันตามประสาของกุ้งทั่วไปกันมากมายเลย เป็นเรื่องน่าแปลกใจของผู้คนในละแวกนั้น ที่ลงเล่นน้ำกันอยู่แถว ๆ คลองบางมดกันในขณะนั้น
หลวงปู่โอภาสี ท่านช่วยให้คนดีทั้งใจและกายร่ำรวยได้ มีชายจีนผู้หนึ่ง ได้ยินความมีเมตตาของหลวงปู่โอภาสี ว่าท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความยากจน ช่วยคนให้ร่ำรวยได้ ถ้าคนนั้นเป็นคนดี และขยัน ชายจีนคนนั้นจึงหาเวลามากราบหลวงปู่ท่านเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ก่อนออกจากบ้าน เขาได้ขึ้นไปหยิบเงินที่เก็บไว้ใต้หมอน เมื่อนับเงินเสร็จแล้ว จึงหยิบธนบัตรใบละร้อยจากเศษที่เกินพันไปสองร้อย โดยตั้งใจไว้ว่าจะไปทำบุญกับหลวงปู่โอภาสีสักสองร้อยบาท เมื่อไปถึงอาศรมบางมด เห็นหลวงปู่นั่งธรรมสมาธิกสิณไฟของท่าน ก็รู้สึกแปลกใจ ครั้นเห็นเป็นโอกาสดีไม่ค่อยมีคน จึงหยิบธนบัตรใบละร้อย สองใบ ถวายหลวงปู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลวงปู่ อั๊วทำบุญอะไรก็ได้ สองร้อยบาทครับ” หลวงปู่โอภาสีท่านก็ยิ้มตอบแล้วก็รับมาพร้อมกับถามว่า “เสียดายไหม” ชาวจีนคนนั้นตอบว่า “ทำบุญกับหลวงปู่ อั๊วไม่เสียดายหรอก” หลวงปู่จึงเอาธนบัตรสองร้อย โยนเข้ากองไฟไป ชาวจีนคนนั้นตกใจมาก ร้องไอ้หยา ทำไมหลวงปู่ทำอย่างนั้นล่ะครับ ประเทศจีนมีแต่เผากระดาษเงินกระดาษทองของปลอมกันเท่านั้นเอง ไม่เคยเผาเงินจริง ๆ กันเลย หลวงปู่ทำแบบนี้ไม่ถูกน่ะ อั๊วเสียดายเงิน แล้วหลวงปู่โอภาสีท่านก็ตอบกลับไปว่า ถ้าโยมเสียดาย ก็ให้กลับไปเอาคืนที่เก่านะ ตอนนั้นชายจีนคนนั้นหมดศรัทธาหลวงปู่ทันที เมื่อกลับถึงบ้านอาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน ก็เอาเงินใต้หมอนมานับเหมือนเคย ปรากฏว่าเงินอยู่ครบเหมือนเดิม ๑,๒๐๐ บาท รุ่งขึ้นรีบกลับไปขอขมาหลวงปู่แต่เช้ามืดเลย หลวงปู่ท่านรู้แล้ว ท่านก็บอกว่าคนขยันอย่างโยม ไม่รวยวันนี้ก็วันหน้าแน่นอน
ต่อมาอีกไม่กี่ปี ชาวจีนคนนี้ทำการค้าขายจนร่ำรวย และได้นำเงินเป็นหมื่นมาถวายหลวงปู่ ให้หลวงปู่เผาไฟอีก และก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาวัดหลวงปู่โอภาสีเรื่อยมา
ก่อนหน้าที่หลวงปู่จะมรณภาพเพียงไม่กี่วัน พุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดียได้นิมนต์ให้หลวงปู่โอภาสีเดินทางไปร่วมงานประชุมสงฆ์ทั่วโลก หลวงปู่ท่านก็รับนิมนต์ พร้อมกับได้ส่งลูกศิษย์ผู้ติดตามล่วงหน้าเดินทางไปก่อนเป็นเวลา ๗ วัน คือ นายสนิท วชิรสาร และ นาย ยี. อี. เอิร์ด เป็นต้น และสำหรับตัวท่านจะออกเดินทางไปโดยลำพัง ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ เป็นที่น่าสังเกตว่า ตามคำนิมนต์ของพุทธสมาคมแห่งอินเดีย นั้นได้กำหนดให้หลวงปู่ออกเดินทางตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ แต่หลวงปู่ได้ตอบขอเลื่อนไปเป็นวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งพอถึงวันนั้น หลวงปู่โอภาสีท่านก็ได้มรณภาพลงทันที ด้วยอาการสงบ ไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอะไร
และเกิดเหตุการณ์แปลกอีก คือ นอกเหนือจากการที่หลวงปู่โอภาสีท่านขอเลื่อนวันเดินทางดังกล่าวไปแล้ว หลวงพ่อบ่าวเอิง สหายธรรมของท่านได้ทราบข่าวการที่หลวงปู่โอภาสีจะเดินทางไปในครั้งนี้ ท่านก็จะขอติดตามเดินทางไปด้วยกัน หลวงปู่โอภาสีท่านได้ฟังเช่นนั้น ท่านก็ได้พูดกับหลวงปู่บ๋าวเอิงไปว่า ในขณะนั้นท่านบ๋าวเอิงยังมีธุระที่ต้องทำอีกมาก อย่าเพิ่งไปกับท่านตอนนี้ดีกว่า และการที่อาตมาไปในครั้งนี้ ก็ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตเหมือนคนอื่นเขา จะให้ท่านบ๋าวเอิงร่วมเดินทางไปด้วยไม่ได้หรอกในตอนนี้ ให้ท่านบ๋าวเอิงเสร็จธุระทางนี้หมดเสียก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยตามท่านไป ก็ได้
จากคำพูดของหลวงปู่โอภาสี ประโยคนี้ ในตอนแรก ๆ หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่พอได้ทราบข่าว การมรณภาพของหลวงปู่โอภาสี ซึ่งตรงกับวันกำหนดเดินทางไปอินเดียพอดี หลวงพ่อบ๋าวเอิงจึงได้สะดุดใจขึ้นมาในคำพูดสุดท้ายของหลวงปู่โอภาสี ว่าท่านเดินทางไปโดยไม่ใช้พาสปอร์ต
ภายหลังจากลูกศิษย์ทั้งสองของหลวงปู่ได้เดินทางไปถึง อินเดียล่วงหน้า 7 วัน ได้ไปพำนักอยู่ในพุทธวิหารแห่งหนึ่งที่เขาจัดไว้ให้พัก ตอนเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ อันเป็นวันที่หลวงปู่โอภาสีท่านได้มรณภาพลงนั้น ขณะที่ นาย ยี. อี. เอิร์ด กำลังคิดเพลิน ๆ อยู่ถึงเรื่องการเดินทางมาประเทศอินเดียของหลวงปู่ เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัว เมื่อปรากฏภาพของหลวงปู่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเหนือศีรษะของเขา ใบหน้าของหลวงปู่อิ่มเอิบและสดใสเป็นอย่างยิ่ง ภาพนั้นลอยเด่นอยู่สักพักหนึ่ง ภาพก็ค่อย ๆ เลือนลางจางหายไปโดยมิได้พูดอะไรกับเขาเลย
จากการได้เห็นภาพของหลวงปู่มาปรากฏเช่นนั้น ทำให้เขาคิดว่าหลวงปู่ของเขาคงจะไม่เดินทางมาแบบธรรมดาเสียแล้ว ถึงเวลาก็มีคนมาบอกว่ามีพระแก่ ๆ มารอพบอยู่ข้างนอก ศิษย์ทั้งสองรู้สึกแปลกใจมาก เราไม่ได้นัดใครไว้เลยนี่ เมื่อได้ออกมาถึงห้องรับแขกใหญ่ ต่างคนก็ต่างตื่นเต้นดีใจกันมากเลย เพราะพระแก่องค์นั้นก็คือ หลวงปู่โอภาสีของเขานั่นเอง ต่างคนต่างได้ซักถามหลวงปู่ว่าท่านเดินทางมาได้อย่างไรนี่ จึงมาเร็วนัก และหลวงปู่โอภาสีท่านนั่งหลับตาเฉย ๆ คล้ายท่านจะทบทวนความจำอะไรนะ พร้อมกับพูดออกมาว่า “ถ้าฉันจะมาก็ไม่มีอะไรมาห้ามฉันได้นะ ฉันก็มาตามคำพูดแล้ว อย่าแปลกใจกันไปเลย” แล้วศิษย์ก็ขอตัวหลวงปู่สักครู่เพื่อไปเอาของในห้องพักกันก่อน แล้วจะได้พาหลวงปู่ ออกเดินชมบ้านเมืองของประเทศอินเดียด้วยกัน ในขณะไปเอาของในห้อง ก็ได้มีคนเอาโทรเลขด่วนจากประเทศไทยมาให้ทั้งสองคนอ่าน เมื่อทั้งสองคนได้เปิดโทรเลขอ่านดูต่างก็ตกใจกันมาก ในโทรเลขส่งมาว่า หลวงปู่โอภาสีมรณภาพ เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ให้ทั้งสองคนรีบกลับมาด่วน มาช่วยกันจัดงานศพ ต่างคนต่างงงกันไปหมด แล้วเมื่อตะกี้นี้ใครกันละ ก็หลวงปู่โอภาสีนี่นา ทั้งสองคนต่างก็มีความเศร้ากันมาก ๆ รีบเก็บของขอลาเจ้าภาพกลับกันด่วนเลย พอมาถึงอาศรมบางมดแล้ว สองคนได้เห็นศพของหลวงปู่นั้นได้ถูกกางมุ่งไว้อย่างดีเลย ดูเหมือนกับว่าท่านกำลังนอนจำวัดอยู่อย่างปกติของท่าน หลังจากได้ผ้าห่อศพพระราชทานมาแล้ว ก็ทำพิธีต่าง ๆ ตามประเพณี ตกกลางคืนก็มีแสงสว่างจากหีบศพของหลวงปู่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นแสงขนาดใหญ่มาก เพียงชั่วแวบเดียวก็จางหายไป
ที่มา : หนังสือประวัติหลวงปู่โอภาสี วัดหลวงพ่อโอภาสี
Comments are closed.